น้ำยาปรับผ้านุ่ม

48912

น้ำยาปรับผ้านุ่ม หมายถึง สารเคมีที่ที่มีคุณสมบัติทำความสะอาด และปรับปรุงเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มให้มีความนุ่มนวล มีความหอม เมื่อสัมผัสหรือสวมใส่ทำให้ความรู้สึกนุ่มสบายของเนื้อผ้า มักใช้ใส่หลังจากการซักผ้าด้วยผงซักฟอกแล้ว

น้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นสารลดแรงตึงผิวที่มีองค์ประกอบของสาเคมีในลักษณะของสารโมเลกุลยาว ใช้เพื่อจุดประสงค์หลักเพื่อลดความหยาบกระด้างของเส้นใยผ้าชนิดต่างๆ เพิ่มความเรียบลื่น และความอ่อนนุ่มของเนื้อผ้า

การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในช่วงแรกมีการใช้ในเส้นใยเรยอน และต่อมามีการผลิตเพื่อใช้สำหรับเส้นใยผ้าได้ทุกชนิด เนื่องจากโดยธรรมชาติของเส้นใยผ้าที่ผลิตจากเส้นใยชนิดต่างๆมักมีความชื้นอยู่น้อย มีความแข็ง หยาบ ทำให้เกิดการหยาบต่อผิวเวลาสวมใส่ และเกิดไฟฟ้าสถิตได้ง่าย

น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อต่างๆ
– Fineline
– Comfort
– Essence
– Hygiene
– Puff
– Downy
– Kodomo
– Babimild

น้ำยาปรับผ้านุ่ม

ประโยชน์น้ำยาปรับผ้านุ่ม
1. ทำให้ผ้าอ่อนนุ่ม เนื่องจากโครงสร้างของสารมีส่วนประกอบของไขมัน น้ำมันหรือขี้ผึ้ง ที่เคลือบอยู่บนผิวผ้าทำให้เกิดความนุ่มลื่น นอกจากนั้น สารปรับผ้านุ่มยังมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดีทำให้เส้นใยมีความชื้นเพิ่มขึ้น
2. ลดไฟฟ้าสถิตย์ เนื่องจากสารปรับผ้านุ่มมีประจุบวกที่เข้าเกาะติดกับประจุลบของเส้นใยทำให้ลดปริมาณประจุลบที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์ได้
3. ผ้าทนต่อแรงขัดหรือการเสียดสี เนื่องจากมีการเคลือบของสารประเภทไขมันที่ช่วยลดแรงเสียดสีของเส้นใยได้
4. ช่วยเพิ่มน้ำหนักผ้า ทำให้ผ้าทิ้งตัวได้ดี ทั้งน้ำหนักจากสารปรับผ้านุ่ม และการดูดซับความชื้นบนเส้นใยเพิ่มขึ้น
5. ผ้ารีดง่ายขึ้น จากผ้าที่มีไขมัน และความชื้น ทำให้สามารถรีดง่าย ไม่ยับง่าย
6. ลดการเกิดขุยของผ้า โดยเฉพาะบริเวณที่มีการเสียดสี เช่น แขน ขา รักแร้ ซึ่งสารปรับผ้านุ่มจะช่วยลดแรงเสียดสีที่เป็นสาเหตุของการเกิดขุย
7. ทำให้ผ้าแห้งเร็ว เนื่องจากสารปรับผ้านุ่มมีส่วนประกอบของแอมโมเนียที่สามารถพาน้ำระเหยออกได้เร็ว
8. ลดการเปียกน้ำ สำหรับผ้าที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มบ่อยๆ จะมีปริมาณไขมันเกาะติดมากทำให้ผ้าลดการเปียกน้ำได้ดีขึ้น

ข้อเสียน้ำยาปรับผ้านุ่ม
1. ผ้าที่ดูดซับความชื้นได้ดีจะดูดซับความชื้นได้น้อยลงจากการเคลือบของสารปรับผ้านุ่ม
2. การใช้น้ำยาบ่อยครั้งอาจทำให้เกิดรอยคราบบนผ้า โดยเฉพาะการใช้ในปริมาณความเข้มข้นมากๆ
3. ผ้าเกิดเชื้อราได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีการดูดซับความชื้นไว้ในเนื้อผ้า แต่ปัจจุบันมักมีส่วนผสมของสารเคมีที่ช่วยป้องกันเชื้อรา
4. ขัดขวางการทำงานของผงซักฟอก เนื่องจากสารปรับผ้านุ่มมักมีส่วนผสมของสารที่ทำให้ปริมาณฟองลดลง ดังนั้น จึงนิยมใช้หลังการซักผ้าเสร็จก่อนตาก
5. ทำให้ความเหนียวของผ้าลดลงจากความชื้นของผ้า
6. ทำให้ผ้ามีความทนไฟลดลง

ยี่ห้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม

ส่วนผสมน้ำยาปรับผ้านุ่ม
ส่วนผสมของน้ำยาปรับผ้านุ่มมักเป็นสารนอนไอออนิก แอมโฟเทอริก หรือแคตไอออนิก ซึ่ง 2 ชนิดแรกมีประสิทธิภาพในการดูดติดกับเส้นใยต่ำมากจึงไม่นิยมใช้เป็นส่วนผสมสำหรับน้ำยาปรับผ้านุ่มในครัวเรือน แต่นำมาใช้มากในอุตสาหกรรมตกแต่งผ้า ส่วนชนิดที่ 3 มีความสามารถดูดติดในเส้นใยได้ดีจึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่

สารแคตไอออนิกที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสม ได้แก่ สารประกอบควอเตอร์นารีไนโตรเจน อาทิ ไดอัลคิลแอมโมเนียมคลอไรด์  ส่วนสารแคตไอออนิกชนิดอื่นๆที่นำมาใช้ เช่น amino amides และ imidazoleines

ส่วนประกอบทั่วไป
1. สารทำให้นุ่มที่สามารถกระจายในตัวทำละลาย (น้ำ) ได้ดี
2. สารช่วยกระจายตัว ทำให้ผลิตภัณฑ์มีเสถียรภาพ สามารถเก็บรักษาได้นาน ไม่มีการเกาะตัว และกระจายตัวในสารละลายได้ดี
3. สารช่วยให้ดูดติดเส้นใย ทำหน้าที่ช่วยในการดูดติดระหว่างสารทำให้นุ่มกับเส้นใยมีการดูดติดที่ดีขึ้น
4. สารกันบูด ทำหน้าที่ป้องกันการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยป้องกันการบูดของน้ำยาทำให้สามารถเก็บไว้ได้นาน
5. สารป้องกันฟอง ทำหน้าที่ป้องกันการเกิดฟองของสารทำให้นุ่มเวลานำมาใช้งาน เนื่องจากสารทำให้นุ่มมักมีคุณสมบัติทำให้เกิดฟองได้ง่ายเมื่อละลาย และมีการกวน
6. สารดูดความชื้น ทำหน้าที่เกาะติดกับเสื้อผ้าช่วยในการดูดเก็บความชื้นให้แก่เสื้อผ้า ทำให้เสื้อผ้ามีความชื้น ไม่แห้งกร้าน
7. น้ำหอม เป็นส่วนผสมเพื่อทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอม น่าใช้
8. สารสี ทำหน้าที่เป็นสารสีให้แก่น้ำยาปรับผ้านุ่ม โดยสารสีนี้จะไม่มีผลเกาะติดเสื้อผ้าหรือทำให้สีเดิมของเสื้อผ้าเปลี่ยนไป

ตัวอย่างส่วนประกอบน้ำยาปรับผ้านุ่ม
1. น้ำสะอาด 96.00 %
2. QUATERNIUM-18 (AND) ISOPROPYL ALCOHOL 3.50 %
3. SKYBIO PG520 0.15 %
4. 1.0 % BLUE 10 (C.I. 74180 ) 0.02 %
5. PARAKEET E 9944285 0.33 %

การผสมน้ำยาปรับผ้านุ่ม
1. นำสารเคมีตัวที่ 2 (QUATERNIUM-18 (AND) ISOPROPYL ALCOHOL ) เทลง
ในน้ำสะอาด พร้อมกวนให้สารเคมีละลายจนหมด โดยการอุ่นสารละลายที่อุณหภูมิ 50 – 55 องศาเซลเซียส จนได้ของเหลวสีเหลือง จากนั้น เทสารละลายลงในถังผสมที่อุณหภูมิห้อง พร้อมปั่นด้วยเครื่องปั่นความเร็วปานกลาง จนได้สารละลายสีขาวขุ่น และข้น
2. นำสารเคมีที่เหลืออีก 3 ชนิด ลงผสม กวนให้เข้ากันในอีกถังผสม จนได้สารละลายสีน้ำเงิน ซึ่งจะมีกลิ่นหอม
3. นำสารละลายสีน้ำเงินในข้อ 2 เติมลงในสารละลายในข้อ 1 พร้อมกวนสารละลายในถังปั่นที่ 1 ให้เข้ากัน จนได้สารละลายสีฟ้าทึบ ข้น ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่มสีฟ้า

การทำงานน้ำยาปรับผ้านุ่ม

สารปรับผ้านุ่มเมื่อละลายน้ำ และใช้ปรับความนุ่มของผ้าจะเข้าดูดติดบริเวณเส้นใยผ้า โดยมีหน่วยโซ่ยาวของสารที่เป็นอนุพันธ์ของไขมันที่เป็นส่วนท้ายไม่ชอบน้ำ และมีส่วนหัวที่เป็นส่วนชอบน้ำ เมื่อละลายน้ำจะให้ประจุบวก ส่วนเส้นใยมักให้ประจุลบ ทำให้เกิดการดูดติดซึ่งกันและกันภายใต้สภาวะความเป็นกรด-ด่างของน้ำ ทำให้เนื้อผ้ามีความนุ่มลื่น ไม่เกิดประจุไฟฟ้าเมื่อแห้งตัว ตามคุณสมบัติของสารปรับผ้านุ่ม

ลักษณะการใช้
น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ผลิตจำหน่ายตามท้องตลาดมักเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้น ซึ่งการใช้ในแต่ละครั้งควรอ่านข้อแนะนำการใช้บนสลากผลิตภัณฑ์ โดยมักมีข้อบ่งใช้เพียงเล็กน้อยด้วยการผสมในน้ำ เช่น ใช้ปริมาณ 1-2 ฝา หรือ 1-2% ของน้ำ เท่านั้น ซึ่งมักผสมน้ำ และแช่เสื้อผ้าก่อนตากประมาณ 5-10 หรือปั่นในเครื่องซักผ้า เพื่อให้น้ำยาซึมติดในเนื้อผ้า

ข้อปฏิบัติการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม
1. ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในน้ำล้างครั้งสุดท้ายหลังการซัก โดยไม่ต้องล้างออก เพียงบีบให้หมาดๆ แล้วนำตาก
2. หากต้องการใช้กับผ้าที่เป็นเส้นใยธรรมชาติ ไม่ควรใช้บ่อย ควรเว้นระยะการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มทุกๆ 2-4 ครั้งต่อการซัก
3. ไม่ควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มขณะที่มีน้ำผงซักฟอกอยู่
4. สำหรับผ้าที่มีคราบสกปรกมาก ในการซักครั้งแรกไม่ควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะอาจทำให้การขจัดคราบสกปรกในการซักน้อยลง
5. ไม่ควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณมาก ขณะที่มีปริมาณผ้าน้อย และไม่ควรเทน้ำยาปรับผ้านุ่มใส่ผ้าโดยตรง เพราะอาจทำให้เกิดรอยคราบบริเวณผ้าได้
6. ควรอ่านคำแนะนำ และปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้บนผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง