น้ำยาบ้วนปาก

17477

น้ำยาบ้วนปาก เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายในช่องปากสำหรับต้านเชื้อจุลินทรีย์ กำจัดคราบอาหาร ทำให้ช่องปากสะอาด ลมหายใจมีกลิ่นหอม และรู้สึกสดชื่น มักใช้ควบคู่หลังการแปรงฟันหรือไม่สามารถแปรงฟันได้ตามปกติ

ประโยชน์น้ำยาบ้วนปาก
1. ลดการก่อตัวของไบโอฟิมล์ในช่องปาก
2. ลด และต้านเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นโทษในช่องปาก โดยมีความจำเพาะต่อเชื้อโรคที่เป็นโทษ
3. ไม่มีผลระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในช่องปาก
4. ไม่เกิดผลกระทบต่อนิเวศในช่องปากจนเปลี่ยนภาวะสมดุลไป
5. มีผลต่อเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดการดื้อยาหรือต้านยาบางชนิด
6. ออกฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ได้นาน
7. มีรส และกลิ่นน่าใช้
8. มีความจำเพาะให้เลือกใช้ เช่น ชนิดเหมาะสำหรับผู้ป่วยเยื่อบุในช่องปากอักเสบ ผู้ป่วยในระยะบำบัดมะเร็ง เป็นต้น
9. อาจมีผลกระตุ้นการหลั่งน้ำลายสำหรับผู้ที่มีน้ำลายน้อย

น้ำยาบ้วนปาก

สารยับยั้งจุลินทรีย์
1. กลุ่มบีสไบกัวนายด์
สารในกลุ่มนี้ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับยับยั้งการก่อตัวของไบโอฟิล์มในช่องปาก เช่น คลอร์เฮ็กซิดีน อะเล็กซิดีน และอ็อกเทนิดีน เป็นต้น

คลอร์เฮ็กซิดีน เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในวงกว้าง และออกฤทธิ์ในที่สุดเมื่อเทียบกับสารอื่นๆในกลุ่มนี้ มักใช้ในรูปคลอร์เฮ็กซิดีนไดกลูโคเนต สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก และแกรมลบ รวมถึงเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยออกซิเจน และไม่อาศัยออกซิเจน และออกฤทธิ์ลดการอักเสบของเหงือกได้อย่างดี แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากมีรสขม หากใช้นานติดต่อกันมักเกิดคราบสีที่ผิวฟัน และลิ้น ทำให้การรับรสเปลี่ยนไป

2. กลุ่มควดเทอร์นารี แอมโมเนีย
สารในกลุ่มนี้สามารถต้านเชื้อจุลินทรีย์ได้มากกว่าคลอร์เฮ็กซิดีน แต่เมื่อทดสอบนำมาใช้กลับมีประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากมีความคงตัวต่อสภาวะในช่องปากต่ำ แต่มีข้อดีที่ทำให้เกิดคราบที่ฟัน และลิ้นน้อยกว่า สารในกลุ่มนี้ ได้แก่ ซิติลไพริดิเนียมคลอไรด์

3. สารประกอบฟีนอล
เป็นการใช้สารฟีนอลอย่างเดียว ซึ่งมีประสิทธิภาพลดการก่อตัวของไบโอฟิล์มในช่องปากได้อย่างดี โดยจะเข้าทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ และโปรตีนของแบคทีเรีย

4. โลหะหนัก
สารประกอบของโลหะหนักบางชนิดมีผลลดการเกิดคราบไบโอฟิล์มที่ฟันได้ ได้แก่ สารประกอบสังกะสี ดีบุก และทองแดง แต่มีรสชาติของโลหะและอาจมีผลต่อร่างกายหากเกิดการกลืนกิน ปัจจุบันจึงไม่นิยมนำมาเป็นส่วนผสม

กลไกการออกฤทธิ์ของสารจำพวกโลหะหนักสามารถยับยั้งเชื้อรา และไบโอฟิมล์ได้ด้วยการรบกวนการทำงานของเอนไซม์บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์แบคทีเรียทำให้เกิดความปกติของการรับส่งสารผ่านเข้าออกเซลล์

5. สารสกัดจากธรรมชาติ
สารที่สกัดได้จากธรรมชาติ ปัจจุบันถือว่ามีความนิยมมากขึ้น ทั้งคุณสมบัติในการให้กลิ่นแบบธรรมชาติ และการออกฤทธิ์ที่สามารถต้านเชื้อจุลินทรีย์ในช่องปาก และลดอาการฟันผุได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงการใช้สำหรับทดแทนน้ำตาล เช่น การบูน กานพลู ไซลิทอล เป็นต้น

นอกจากสารที่กล่าวมายังมีสารอื่นที่มักใช้เป็นสารผสมเติมแต่งประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปาก ได้แก่
– Thickening or binding agent เช่น โพลีเอธิลีนไกลคอน ใช้สำหรับป้องกันการแยกตัวของส่วนผสมในน้ำยาบ้วนปาก
– Humectants เช่น กลีเวอรอล และซอร์บิทอล ใช้สำหรับรักษาความชื้นให้แก่ตัวน้ำยา
– Solvent เช่น แอลกอฮอล์ ใช้สำหรับเป็นตัวทำละลาย และทำให้รู้สึกเย็นสดชื่น
– Detergents and Surfactants เช่น ทวีน 80 ทำหน้าที่สำหรับลดแรงตึงผิวของน้ำยาบ้วนปากทำให้น้ำยาสามารถแทรกซึมเข้าไปในทุกส่วนได้อย่างทั่วถึง นอกจากนั้น ยังสามารถออกฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ได้เช่นกัน
– Preservative เช่น โซเดียมเบนโซเอท ใช้สำหรับป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในน้ำยาบ้วนปากทำให้สามารถเก็บไว้ได้นาน
– Flavoring and sweeteners เช่น ไซลิทอล ใช้สำหรับเป็นสารให้ความหวานช่วยให้น้ำยาบ้วนปากมีรสชาติที่ดีขึ้น

หลักพิจารณาการใช้น้ำยาบ้วนปาก
1. เมื่อไม่สามารถแปรงฟันได้ตามปกติ
2. เมื่อเกิดแผลหรือติดเชื้อในช่องปาก
3. ผู้ป่วยทางสมองหรือผู้ป่วยอื่นๆที่ไม่สามารถขยับแขนได้

ข้อแนะนำการใช้
1. ใช้โดยการอม และป้วนน้ำยาไปมาในช่องปาก
2. ควรใช้หลังจากการแปรงฟัน
3. ใช้ร่วมกับการแปรงฟันสำหรับผู้ที่ต้องดูแลช่องปากเป็นพิเศษ เช่น มะเร็งในช่องปาก
4. ห้ามกลืนกิน

ตัวอย่างผลิตภัณ์ และสารออกฤทธิ์หลัก
1. ลิสเตอลีน-เอสเซนเซียลออยล์
2. คอลเกต-ซิติลไพริดิเนียมคลอไรด์
3. ฟลูออคาริล-ฟลูออไรด์
4. ซิสเตมม่า-ซิงค์เลคเตต
5. มายบาซิน-เอสเซนเซียลออยล์
6. ออรัลเมดเอฟ-ซิติลไพริดิเนียมคลอไรด์/สารสกัดสมุนไพร/พรอพอลิส
7. เฮอบริก-เอสเซนเซียลออยล์/สารสกัดสมุนไพร